ความตั้งใจของทริปนี้ คืออยากไปสังเกตการณ์และมีประสบการณ์ร่วมคาร์แรลลี่สักครั้ง เผื่อว่าวันข้างหน้าจะสนใจจัดกิจกรรมแบบนี้บ้าง แต่กลับเป็นทริปที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ human touch ไม่ได้จริง ๆ กับการจัดครั้งนี้ แต่ก็คงจะด้วยหลายสาเหตุแหละ
แต่อย่างน้อยก็ได้เก็บเกี่ยวเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวแหละน่า และก็ให้ได้รู้ว่าลักษณะการบริการแบบไหนที่นักท่องเที่ยวจะไม่ประทับใจ และผู้ให้บริการรายไหนที่เราจะไม่เลือกใช้ในอนาคต เพราะครั้งนี้เราไม่กะจะเป็นนักท่องเที่ยวอย่างเดียวแน่ ๆ ด้วยรู้ว่าในอนาคตอันใกล้เรากำลังจะกลับคืนวงการงานท่องเที่ยว แน่นอนว่าถ้าเราจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวลักษณะนี้ ก็ต้องเลือกสรรผู้ให้บริการมาร่วมทำงานด้วย ซึ่งเราจะไม่เลือกแบบทริปนี้แน่
เล็กแบบนี้แต่สมรรถนะไม่ธรรมดา
เขียวมะนาว 👉 เปรี้ยวซ่าและก๋ากั่น (เหมือนเจ้าของล่ะ 😁)
เพื่อนร่วมทางของเรา
เอาเป็นว่าเราตัดเรื่องนั้นไปดีกว่า ว่ากันด้วยเส้นทางท่องเที่ยวที่ไปแวะไปเยือน
1. Secret Space
เขาว่าที่นี่เป็นดินแดนแห่งความลับ ก็คือเป็นลักษณะคาเฟ่ร้านกาแฟ ทางเข้าทำให้ร้านดูลึกลับจริง ๆ ขับไกลจากถนนใหญ่พอสมควร เราขับตาม gps เมื่อมาถึงร้าน เราใช้เวลาแบบรีบเร่งมาก ด้วยเกินกำหนดเวลาของจุดแรกไปพอสมควร (ช่วงปล่อยตัวเวลาเลทไปมาก) ก็เลยไม่ได้เดินดูอะไรภายในร้านมากนัก แต่เท่าที่เห็นบรรยากาศโดยรวม เหมือนเขากำลังปรับปรุงหรือเปล่า ดูเหมือนจะยังทำไม่เสร็จ ลักษณะโครงสร้างร้านโอเคมากนะ มีพื้นที่กว้างขวาง มีเขาวงกต มีสระน้ำ มีสวน แต่เลี้ยงสัตว์ด้วย และยกรพื้นที่เลี้ยงไก่หรือนกนี่ล่ะ ให้อยู่สูงระดับสายตาคน ระหว่างทางเดินก็ดูมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่แหละ ส่วนการบริการในร้าน อืมมม พนักงานเยอะนะ แต่การรับออเดอร์ยังดูงง ๆ คือเขียนออเดอร์ให้ แต่กลับลืมทำของลูกค้า ก็จะแตกต่างกับที่เห็นในรีวิวหลาย ๆ เพจ ก็อาจจะเป็นเพราะร้านปรับปรุงอยู่ หรือพนักงานใหม่ด้วยละมั้ง
2. วัดขนอนหนังใหญ่
ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องหนังใหญ่ มีพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่จัดแสดงให้ได้ชม ในวันที่ไปที่วัดเขามีการจัดกิจกรรมอยู่แล้ว ทางทริปก็เลยให้เราเข้าร่วมชมหนังใหญ่ที่อยู่ในโปรแกรมของงานนี้ ชื่อกิจกรรม “5 สายน้ำ สืบสานวัฒนธรรม แห่งลุ่มน้ำภาคกลาง” (ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำแม่กลอง ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำปาสัก-ลพบุรี และลุ่มน้ำเพชรบุรี) มีการออกบูธจัดสถานที่แสดงเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ จากที่เห็นโลโก้ดูแล้วจะเป็นการจัดของจังหวัดร่วมกับ สนง.วัฒนธรรมจังหวัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ทั้ง 5 ลุ่มน้ำนี้
ในส่วนนี้ก็มีกิจกรรมให้หาคำตอบในพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ อยู่ชั้น 2 ของเรือนไทย มีหนังใหญ่มากมายจัดแสดงให้ได้ชม
3. ร้านเพลินพุง
ทางโปรแกรมจัดให้ทานกลางวันกันที่ร้านนี้ อาหารก็อร่อยนะคะ รสชาติใช้ได้เลย มีที่จอดรถสะดวกหรือจะจอดริมถนนหน้าร้านก็ได้ ทานเสร็จก็ไปต่อค่ะ (ทำเวลา + ส่งงานกิจกรรมเกมประจำจุด)
4. โมอาย คอฟฟี่ สวนผึ้ง
อีกหนึ่งร้านกาแฟที่มีมุมถ่ายรูปให้มากมาย ตกแต่งร้านด้วยสถาปัตยกรรมหินแกะสลักโมอายแบบต่างประเทศ ก็แวะสั่งกาแฟและถ่ายรูปกันแปบนึง
5. ธารน้ำร้อนบ่อคลึง
ใช้เวลาอยู่ที่นี่ก็แปบเดียวเช่นกัน มีบ่อ 2 ประเภทให้เลือก น้ำร้อนธรรมชาติจากเทือกเขาตะนาวศรี เรามีเวลาน้อย ก็แค่ได้นั่งแช่เท้าเท่านั้น ค่าเข้าคนละ 5 บาท แต่ถ้าจะลงแช่บ่อพื้นกระเบื้อง จ่ายเพิ่มผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 10 บาท (คนไทย) ถ้าเป็นบ่อธรรมชาติจะไม่เสียเงินค่ะ
6. น้ำตกเก้าโจน
อยู่ใกล้ ๆ กับธารน้ำร้อนบ่อคลึงไม่ถึงกิโลเมตร ได้แต่ขับผ่าน ไม่ได้แวะเข้าไป เวลาค่อนข้างจำกัด
7. อูหลงรีสอร์ท
ที่พักโดยรวมดูโอเค อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ห้องพักมีหลายแบบให้เลือก เราได้ห้องพักสำหรับ 3 คน สามารถเอารถมาจอดใกล้ ๆ ห้องพักได้เลย แต่ในส่วนอาหารเช้านั้น ดูจะค่อนข้างเซฟคอสนะ ไม่รู้จากรีสอร์ทหรือผู้จัด (แต่ก็เป็นแบบบุฟเฟต์รวมกับแขกอื่นทั่ว ๆ ไปนะ) หรืออาจจะด้วยตอนเช้าเราลงมาจากเขากระโจมสายแล้วก็เป็นได้
8. เขากระโจม
ไฮไลต์ของทริปนี้แหละ แรลลี่พิชิตเขากระโจม แต่ไม่ใช่รถเราขึ้นไปหรอกนะ ต้องเป็นรถโฟร์วิวขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น ส่วนมากก็จะใช้บริการรถของคนในพื้นที่ จะมีแต่ขาลุยที่ชอบแนวนี้ จะเอารถมาเอง แต่ก็มีความเสี่ยงมากพอสมควร เสี่ยงที่รถจะพัง เท่าที่คุยกับคนขับและเส้นทาง ดูต้องใช้ความชำนาญมากพอสมควร ทั้งทักษะคนและสมรรถนะของรถเลยล่ะ คนพื้นที่ก็เล่าถึงรถนักท่องเที่ยวที่ไปเสียระหว่างทางก็มีบ่อยเหมือนกัน
ทางผู้จัดนัดไว้ในโปรแกรมว่าเจอกันเช้าตรู่คือตี 5 เพื่อเดินทางขึ้นไปชมทะเลหมอกเขากระโจมที่ทางผู้จัดเตรียมจ้างรถไว้ เรามาถึงเห็นรถเกือบ 10 คัน ก็จองนั่งหลังเลย ขึ้นกัน 3 คน ก็รออยู่สักพัก ผู้จัดก็บอกว่าต้องให้ทุกคนขยับไปให้คันหน้า ๆ เต็มก่อน ไม่งั้นจะออกไม่ได้ ก็คือต้องลงค่ะ ตอนขาลงเพื่อนเราเกือบบาดเจ็บ ด้วยราวที่จับตอนปีนลงจากด้านหลังรถหลุดออกมาขณะปีน แต่ดีที่รับไว้ทันไม่เป็นอะไรมาก นี่ก็หนึ่งจุดที่ไม่น่าถูกใจเสียเลยกับเรื่องของความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ที่ผู้ประกอบการไม่ค่อยมีการตรวจเช็คหรือคำนึงถึงมากนัก
หน้าตาคนรีบตื่น มาถึงกระโดดขึ้นหลังรถเลย
ยังไม่เท่านั้น ปรากฏว่าเมื่อต้องไปขึ้นคันหน้า ๆ ซึ่งจริง ๆ เขาเต็มกันแล้ว เรากับเพื่อน และอีก 1 – 2 ครอบครัว ก็อ้าวให้ขึ้นคันไหน ก็เป็นความไม่ชัดเจนของสต๊าฟ คนนึงอยากให้ไปเติมให้เต็ม (คำว่าเต็มคือเบียดแน่น) แต่เจ้าของรถในพื้นที่คนนึงก็ยืนยันว่าให้แค่ 8 คน ไม่งั้นอันตราย เขาก็เริ่มเถียงกันเล็ก ๆ เราก็คือนักท่องเที่ยวในตอนนั้น อ้าวจะเอายังไง ซึ่งเหตุผลของสต๊าฟที่ให้พวกเราลงมา คือคันนั้นจะไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นจะเก็บไว้ให้สต๊าฟ อีกคนก็บอกถ้างั้นรถก็ไม่พอน่ะสิ ก็ต้องเรียกเพิ่ม สต๊าฟคนแรกก็ประมาณว่าจะทำให้สายนะ ไม่งั้นต้องให้คันอื่นไปก่อน แล้วให้กลุ่มเรารอรถ จะให้คันอื่นมารอแค่กลุ่มนี้ได้ไง
พอถึงตอนนี้ เราไม่นิ่งแล้วนะ เรารู้สึกว่าเหมือนพวกเราเป็นตัวปัญหาเหรอ เราก็โมโหแหละ เราเลยบอกว่าทางสต๊าฟคุณให้เราลงมาจากรถคันนั้น ซึ่งเราขึ้นไปรอแต่ก่อนใครแล้ว เราไม่ได้มาสายนะ เรามาก่อนเวลานัดด้วย ตอนแรกสต๊าฟบอกคันนั้นให้นักท่องเที่ยวขึ้นได้ แต่กลับเป็นให้เราลงเพราะจะให้เราไปขึ้นเบียดคันอื่น (ไม่อยากให้เปลืองค่ารถหลายคันเหรอ) แล้วพอเบียดไม่ได้ จะให้เราไปช้ากว่าคนอื่นเหรอ ซึ่งลุงคนขับก็ทำถูกแล้ว ถ้ารถกำหนดให้ได้แค่ 8 คน ก็ต้อง 8 คน ความปลอดภัยต้องมาก่อน คือเราไม่ยอม 🤨
สรุปคือเรียกรถเพิ่ม และให้ทุกคันรอไปพร้อมกัน เรานี่อารมณ์เสียนิด ๆ พอรถมาก็ขึ้นนั่งข้างหน้าข้างคนขับเลย ไม่ปีนขึ้นไปแล้ว (ทั้ง ๆ ที่จริง ๆอยากสัมผัสบรรยากาศข้างนอกมากกว่านะ) นั่งสักแปบก็เริ่มปรับอารมณ์แหละ ก็คุยกับพี่คนขับไป อืมม ก็ดีเหมือนกัน ทำให้เรามีโอกาสได้คุยกับคนในพื้นที่ ก็ให้ได้ข้อมูลมาพอสมควร ชื่อพี่พัด (0861746425) ก็ถามแกแหละว่ามีการบริหารจัดการยังไง มีการรวมกลุ่มกันหรือถ้าจะมาต้องติดต่อผ่านใคร แกก็บอกว่าติดต่อรถได้โดยตรงทุกคัน แจ้งความต้องการได้เลย ว่าจะไป-กลับ หรือค้างคืน หรือจะมีกิจกรรมอื่นด้วย เช่น ปลูกป่า ทุกคนก็จะประสานกันในพื้นที่เอง คนที่ดูแลข้างบนจะเป็นในส่วนของ ตชด. หน่วยงานที่ดูแลเรื่องเส้นทางปรับถนนทางขึ้นก็จะเป็น อบจ. แต่ปรับไปสักพักทางก็จะพัง ๆ อีก ด้วยฝนตก ด้วยรถขับขึ้นลง แต่ทางจังหวัดและทางหน่วยงานด้านท่องเที่ยวก็ไม่มีนโยบายจะทำทางแบบถนนดี ๆ หรอก ด้วยอยากคงความยากเฉพาะตัวให้เป็นเสน่ห์การท่องเที่ยวไว้แบบนี้ พี่พัดแกว่าถ้าเรื่องความโหดของเส้นทางก็ถือว่าอยู่ระดับต้น ๆ ของไทย ในสถานที่ที่อนุญาตให้รถเข้าไปถึง คือทางดูยากดูท้าทายจริงแหละ เรานี่นั่งหน้าก็แบบลุ้นมาก แต่อาจไม่ถึงกับหวาดเสียวแบบมีหุบเหวข้าง ๆ เหมือนหลายที่ ตอนแรกเราก็ไม่กล้าชวนคุย กลัวว่าแกจะต้องใช้สมาธิ นั่งลุ้นไปกับแกตลอด แต่แกก็บอกขับมานานมากจนชำนาญ ก็ไม่ได้รู้สึกน่ากลัว แค่ไม่ประมาท แกยังว่าหลับตาขับยังได้ (เอิ่ม ไม่ต้องหลับตอนนี้เนอะ)
จะไปต่อหรือพอแค่นี้
อ่อ ค่าบริการรถขึ้นเขากระโจม ถ้า ไป-กลับ อยู่ที่ 1,500 บาท แต่ถ้าค้างคืน คือต้องขึ้นไปส่งและไปรับอีกวันก็ 2,500 บาท ต่อจำนวน 8 คนต่อ 1 คัน ระยะทางขึ้นเขากระโจมก็ไม่ไกลนะ 10 กม. แต่ใช้เวลาพอสมควร ชั่วโมงกว่าเลยล่ะ ระหว่างทางเจอฝนตกด้วย ตามเส้นทางก็จะเห็นมีนักวิ่งเทรลเป็นระยะ ๆ เลย เห็นว่าช่วงนี้มีมาซ้อมเยอะ จะมีรายการแข่งวิ่งเร็ว ๆ นี้ แล้วก็จะผ่านจุดต่าง ๆ มีจุดกลับใจ ประมาณว่าถ้าขึ้นมาสักพักแล้วไม่ไหว (จะคนจะรถก็เหอะที่ไม่ไหว) ให้ได้คิดทบทวนว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ถ้าพอก่อนพักก่อนก็สามารถกลับตรงนี้ได้เลย ด้วยเส้นทางส่วนมากเป็นทางแคบ ๆ จะสวนกันไม่ได้ กลับรถลำบากด้วยแหละ แล้วขับมาสักพักก็ผ่านป้ายเนินมหัศจรรย์ ที่ว่าจอดแล้วเหมือนรถไหลวิ่งขึ้นเขาเอง พี่เขาก็บอกเดี๋ยวนี้ถนนมันเปลี่ยนก็ไม่มหัศจรรย์แบบนั้นแล้วล่ะ
ระหว่างเส้นทางก็จะต้องขับข้ามธารน้ำ (คาดว่าจะมาจากเทือกเขาตะนาวศรี) ที่ไหลลงไปข้างล่างให้ชาวบ้านได้ใช้กันด้วย จะมีน้ำตลอดปี ส่วนจะลึกแค่ไหนก็อยู่ที่ช่วงฤดูกาล แต่รถวิ่งขับลุยผ่านได้ พี่พัดเล่าว่าเมื่อก่อนมีชาวบ้านพักอาศัยอยู่บริเวณนี้ แต่ตอนนี้ได้ย้ายถิ่นฐานไปด้านล่างแล้ว ด้วยตามโครงการเกี่ยวเนื่องกับอุทยานธรรมชาติวิทยาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ที่ทรงมีพระเมตตาและเล็งเห็นถึงการอนุรักษ์สภาพธรรมชาติไว้ให้คนในพื้นที่และเยาวชนรุ่นหลังด้วย
ข้ามธารน้ำเล็ก ๆ
และแล้วก็มาถึง ที่นี่เขากระโจม
ตชด. ผู้พิทักษ์ป่าเขากระโจม
อันนี้ตอนกำลังจะถึงยอดเขา พอดีเห็นหนุ่ม ตชด. มายืดเส้นยืดสายออกกำลังกายยามเช้าหน้าที่พัก ก็ซูมถ่ายหน่อยละกัน ดูหน่วยก้านแข็งแรงดีค่ะ 555 😊
ในที่สุดก็ได้พิชิตเขากระโจม แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง (มีบางคันติดอยู่ระหว่างทางขึ้นไม่ได้) ตอนไปถึงฝนยังไม่หยุดตก คันที่ไปถึงแล้วต่างพากันหลบอยู่ในร่ม แต่ดูท่าทีฝนจะยังไม่ยอมหยุดตกง่าย ๆ เรากับเพื่อนก็ลุยเลยค่าา เปียกเป็นเปียก ขอให้ได้รูปละกัน ก็คือฝนไม่ได้ถึงกับหนักจนอันตรายกับมือถือเราหรอก ก็สนุกสดชื่นไปอีกแบบ ถ่ายไปหนาวไป หมอกที่เห็นด้วยตาจะเยอะกว่าในรูปนะ
เหมือนท่ากระโดดลงจาก ฮ.
🎶 เธอมากับฝน สวยตรงที่เดินตากฝน 🎵 (บทเพลงก็ลอยแว่วมา)
มาม่า + ไข่ 35 บาท ถ้ากาแฟหรือโอวัลติน 10 บาท
ระหว่างขากลับ
9. ตลาดโอ๊ะป่อย ที่แปลว่าพักผ่อน ไปค่ะ ไปพักผ่อนกัน
เราชอบนะตลาดนี้ ตั้งแต่เห็นข้อมูลอ่านบทความที่เขียนถึงก่อนมาละ ว่ายังไงมาราชบุรีแล้วต้องมาแวะให้ได้ จริง ๆ เวลาที่เราแวะก็ใกล้เที่ยงแล้ว ตามโปรแกรมที่เขาจัด เราต้องไปกินไก่งวงแถวปากท่อแล้ว แต่ด้วยเวลาเลทมาตั้งแต่เช้า เราเลยต้องเลือกระหว่างไก่งวงกับโอ๊ะป่อย เพราะที่นี่เปิดแค่บ่ายสอง เรากับเพื่อนเลือกที่นี่ เลือกจะเดินเล่นและกินกลางวันที่นี่แบบซื้อเองนอกโปรแกรม แล้วก็แยกจากทริปมาเลย
ตลาดน่าเดินจริง ๆ น่าประทับใจทุก touch point ตั้งแต่ที่จอดรถ ไม่ให้เราต้องงง ว่าขับเข้าไปจะมีที่จอดรถมั้ย มีเจ้าหน้าที่โบกตั้งแต่เส้นทางก่อนถึง ให้จอดรถเรียงกันไว้ริมทางอย่างเป็นระเบียบ แล้วก็เรียกรถมารับให้ รอไม่ถึง 3 นาที รถก็มาอย่างไว ทั้ง ๆ ที่วันนั้นคนก็เยอะมากนะ รถก็มีขับเวียนกันอย่างเพียงพอ และรับส่งฟรีด้วย คนขับก็อัธยาศัยดี แนะนำเรื่องห้องน้ำห้องท่าโดยไม่ต้องถาม บริการดีแบบนี้ก็ทิปสิคะ 555 ถามได้ความว่าที่นี่เขาบริหารจัดการร่วมกันระหว่างผู้นำชุมชน วัด (วัดป่าท่ามะขาม) และคนในพื้นที่ มีความเข้มแข็งแบบไม่ต้องพึ่งหน่วยงาน (มิน่าทำได้ดี 555)
เข้ามาถึงก็เห็นกลิ่นไอความน่ารักแบบฉบับของกะเหรี่ยง ทั้งการตกแต่ง การแต่งกาย และอาหารขนมของขายที่ชื่อเรียกเป็นภาษาถิ่น ติดป้ายบอกอย่างมีเอกลักษณ์ รายล้อมด้วยบรรยากาศธรรมชาติ ริมธารน้ำใสที่มีน้ำไหลตลอดปี มีบริการล่องแพอีกด้วย (200 บาท / 4 คน) ที่นี่ตอนเช้าตรู่เขาจะมีใส่บาตรพระที่ล่องแพไม้ไผ่มารับบิณฑบาต (ซึ่งก็ไม่ใช่วิถีจริง ๆ หรือพูดง่าย ๆ ว่าจัดให้มีเพื่อเป็นกิจกรรมดึงดูดและรองรับการท่องเที่ยวนั่นล่ะ ก็ถ้าสิ่งที่จัดแสดงขึ้นมาไม่ได้ส่งผลกระทบทางลบกับใคร แล้วสามารถสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับนักท่องเที่ยวได้ ก็โอเคแหละ ยอม ๆ ไปก็ได้) ซึ่งวันนี้เราก็ไม่ได้มาทันตอนใส่บาตรหรอกนะ ขนาดว่ามาสัมผัสกับบรรยากาศตอนเที่ยงแล้ว ยังชอบเลยกับความเป็นธรรมชาติที่ร่มรื่น น่านั่งชิลนั่งกินแบบยาว ๆ เลย
เด็ก ๆ ก็น่ารัก ช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง เดินถือถังพลาสติกคอยเก็บจาน อาหารที่นักท่องเที่ยวทานแล้ว และยังเก็บขยะต่าง ๆ ทั่วทั้งพื้นที่อีก ความสะอาดให้เต็ม 10 เลย จริง ๆ ก็เต็มทุกเรื่องนะที่นี่ 555 ผู้ใหญ่พอเห็นเด็ก ๆ ช่วยกันทำงาน ก็เมตตาเอ็นดู ส่วนมากก็จะให้ทิปเด็ก ๆ กันแหละ
ลูกเพื่อนหน้าตาเต็มใจไปกับเรามาก 555
10. ตลาดเฌอซี๊ญ่า แปลว่า การเรียนรู้
ตลาดเฌอซี๊ญ่าหรือตลาดไกวเปล เป็นอีกตลาดที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดโอ๊ะป่อย คือเห็นป้ายตั้งแต่ทางเข้าก่อนถึงตลาดโอ๊ะป่อยอีก หลังจากเรากลับจากเดินโอ๊ะป่อย เราก็มาเดินตลาดนี้ ด้วยมาแล้วก็อยากรู้ว่าเป็นยังไง ต้องลองแวะให้ครบ ตลาดก็ดูการตกแต่งจะพยายามให้มีคอนเซ็ปต์น่านั่งน่าเดินแหละ จากการสอบถามได้ความว่าเป็นที่เจ้าของส่วนบุคคล เพิ่งเปิดไม่ถึงปี ที่ตั้งก็ติดลำธารเหมือนกันแต่เป็นธารแบบน้ำนิ่ง มีเปลผูกไว้จำนวนมาก ให้สำหรับนั่งเล่นได้ ส่วนร้านค้าก็พยายามให้เป็นสินค้าชุมชน แต่จำนวนก็ยังมีไม่มาก และทุกอย่างก็คล้ายกับโอ๊ะป่อยมาก
ก็เป็นอีกหนึ่งความน่าเศร้าของการท่องเที่ยว เมื่อมีที่หนึ่งทำอะไรแล้วดัง เป็นที่สนใจ มีผลตอบรับดี ก็จะมีลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีก 1 อีก 2 อีก 3 แห่ง ก็ไม่รู้จะทำแข่งกันทำไมนะ เฮ้อ ถ้าเป็นเราในฐานะนักท่องเที่ยว ก็จะแวะนะ แวะให้ครบ ให้ได้รู้ว่าคืออะไร แล้วก็ให้พูดได้ว่ามาแล้ว แต่เราก็จะไม่ซื้ออะไรที่นี่นะ (เพราะของเหมือนกัน แต่ที่แรกมีเอกลักษณ์กว่า) พอนักท่องเที่ยวไม่ซื้อ ไม่เกิดการใช้จ่ายมากเท่าที่ควร แล้วร้านค้าจะอยู่ได้ยังไง ร้านค้าไม่มีแล้วเจ้าของที่ล่ะ แค่นี้ก็เห็นถึงความยั่งยืนแล้วว่าจะไม่เกิด หรือวันนึงอาจทำได้ดีกว่า ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า ซึ่งก็จะเป็นการแข่งขันที่เป็นลักษณะประเภทเดียวกันในพื้นที่ การท่องเที่ยวไม่ใช่ธุรกิจอุปโภคบริโภคทั่วไป ที่จะมาแข่งขันกันลักษณะนั้น จริง ๆ เราควรเป็นลักษณะการส่งต่อให้กันและกันเป็นห่วงโซ่ และช่วยให้เติบโตไปด้วยกัน จะได้ประโยชน์ทั้งฝั่ง supply และ demand เลยล่ะ
11. อุทยานหินเขางู
ระหว่างทางกลับ ก็แวะเที่ยวอุทยานหินเขางู แม้อากาศจะร้อนไปนิด ก็ถ่ายรูปสวยดี มีสะพานแขวนที่จำกัดจำนวนคน 50 คน แต่ก็ไม่มีใครมานับหรอกเนอะ 555 แต่ก็ยังดีที่มีป้ายเตือนแหละน่า ที่นี่การคัดกรองวัดอุณหภูมิต่าง ๆ เขาก็เข้มข้นดี ดูแลโดยเทศบาลตำบลเขางูล่ะ การรบริหารจัดการพื้นที่ก็ใช้ได้แหละ ที่จอดรถก็กว้างขวาง ด้านหน้ามีบริเวณขายของอย่างเป็นสัดส่วน
มาราชบุรี ไม่เอาโอ่งกลับได้ไง
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการแบกโอ่งกลับ กทม. โดยสวัสดิภาพ
อ่อ ต้องมีอีกรูป
ชนเผ่าอินเดียแดงก็มา (เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เวลานั้นเรารู้สึกไม่โอเค)
เดินทางทริปนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 – 22 พ.ย. 63 สองวันหนึ่งคืน กับ “แรลลี่พิชิตเขากระโจม”
บทความนี้ บ่นหนักมาก 555+ (แต่ก็ไม่สูญเปล่านะ ได้อะไรกลับมาเยอะพอสมควร แค่ขอพื้นที่บันทึกไว้เท่านั้นเอง 😅)
Leave a Reply