ช่วงนี้หลายสิ่งเข้ามากระทบใจ ต่อให้ประสบการณ์ผ่านการเรียนรู้สังคมและผู้คนมามากแค่ไหน คนเราก็มักจะเจอกับอะไรที่ท้าทายอยู่เสมอ นั่นแหละหนาที่เรียกว่า “ชีวิต”
แต่สิ่งที่ทำให้ต่างก็เห็นจะเป็น “ภูมิคุ้มกัน” รู้จักจัดการกับใจตัวเอง ด้วยชีวิตที่ผ่าน วัยล่วงเลย วุฒิภาวะที่ต้องมีให้มาก
มาถึงวันที่ไม่ได้ล่องลอยกับคำเยินยอ ปลื้มปริ้มกับคำชื่นชมจนเกินความจริง และไม่ได้ทดท้อ ท้อใจกับคำติเตียนหรือก่นด่าต่อว่าอีกต่อไป
ครั้งใดได้รับคำชื่นชม ก็ขอบคุณ วันไหนได้รับคำตำหนิ ก็ขอบคุณ แล้วมองตัวเองตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น วิเคราะห์เหตุการณ์โดยไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป หากเราทำดีแล้ว ทำได้ดีตามที่เราตั้งเป้าตั้งใจ ก็สุขใจแต่พองาม แล้วเดินหน้าพัฒนาต่อ แต่หากวันไหนมีใครต่อว่าในความบกพร่อง หากข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น ก็กลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าอะไรที่ฉันจะทำได้บ้าง เพื่อให้เกิดการแก้ไขปรับปรุง ไม่มัวมาตราม่ากับความรู้สึก โฟกัสที่เป้าหมาย วันนี้จุดที่เรายืนเพื่ออะไร แล้วมุ่งลงมือทำเพื่อสิ่งนั้น
วันเวลาที่ผ่าน ทำให้เราได้เรียนรู้ ว่าไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน คนจะรัก จะชอบ จะชัง จะชื่นชม ล้วนเป็นความรู้สึกของคนอื่น ทบทวนตัวเองแค่ว่าปฏิบัติตนดำรงตนในหน้าที่ของวันนี้ได้ดีพอหรือยัง เท่านั้นพอ โลกมนุษย์ทุกวันนี้ อย่าไปคาดหวังว่าใครจะมาเข้าใจในความเป็นเราเลย ถ้าทำดีแล้วก็สุขใจได้ในทันที แต่ก็ไม่มีอะไรจะดีที่สุด นั่นคือเหตุผลที่เราต้องพัฒนาตัวเองเสมอ ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ
และเมื่อเราใช้บทเรียน ประสบการณ์ของชีวิตที่ผ่านมามากมาย มาสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง โลกนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัว
เพียงเราตั้งสติ จับไปที่ความรู้สึก จิตใจในช่วงนั้น แล้วรีบสลัดทิ้งสิ่งที่จะก่อเป็น toxic ในจิตใจ มองหาข้อดีในเรื่องราว แล้วก้าวผ่านด้วยพลังบวก ชาร์จพลังงานดีๆ ให้กับตัวเองอยู่เสมอ
ภูมิคุ้มกันดี ก็สุขใจได้ทันที
Leave a Reply