คำถามที่พบบ่อย

พอข่าวคราวการโอนกลับสังกัดเดิม เริ่มเป็นที่รู้กันในวงการทำงาน คำถามที่พบบ่อย ก็คือ ทำไมถึงโอนกลับล่ะ มันเป็นยังไงเหรอ นั่นสิ!

แต่อันที่จริงก็ไม่คิดจะอธิบายเหตุผลให้ใครฟังหรอกนะ ขี้เกียจพูดยืดยาวอ่ะ เหตุผลเรามักจะไม่สั้นเลย แต่ก็ลองมาประมวลความคิดและเหตุผลในการตัดสินใจขอโอนกลับของเราดูสักหน่อย เก็บไว้อ่านในวันข้างหน้าจะได้ไม่ลืมความคิด/เหตุผลของตัวเองในวันนี้

จำได้ว่า เกิดความรู้สึกไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว (2563) ทั้งที่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรที่เข้ามากระทบให้เป็นเหตุผลหลักหรอกนะ ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ มี.ค. 62 – พ.ค. 63 ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้แวบเข้ามาเลย ถึงแม้จะมีเรื่องราวความท้าทายหลาย ๆ อย่างในช่วงก่อนหน้า ก็ไม่เคยรู้สึกท้อถอยนะ แต่พอช่วง มิ.ย. 63 หลายงานยากก็เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้วด้วย แต่กลับคิดไม่อยากอยู่ซะงั้น

ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องราวที่มันสะสมมาทีละเล็กทีละน้อยหรือเปล่า จากวันนั้นที่เริ่มรู้สึกไม่อยากอยู่ต่อ เราก็คิดทบทวนอย่างหนักเลยล่ะ ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียหลายต่อหลายครั้ง เราใช้เวลาคิดไม่นานนัก ในที่สุดเราก็ได้คำตอบกับตัวเอง มันจึงเป็นการตัดสินใจเดินหน้าหาทางกลับให้ได้

จากวันที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว เราก็ไม่เคยรู้สึกโลเลอยากอยู่ต่อเลยนะ ทำเรื่องตามกระบวนการหลายขั้นตอน ในขณะเดียวกันก็ยังคงทำงานในหน้าที่เดิมตามปกติ กว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ 6 – 7 เดือน คำสั่งรับโอนกับคำสั่งให้โอนเสร็จเรียบร้อยในวันที่ 21 มกราคม 2564

จุดเปลี่ยนกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง

กลับมาที่คำถามที่พบบ่อยก่อนดีกว่า –> ทำไมถึงโอนกลับ

1.ไม่ตอบโจทย์

แล้วโจทย์คืออะไร อะไรที่ว่าไม่ตอบโจทย์ ลักษณะงาน? ความก้าวหน้า? วัฒนธรรมองค์กร? รวม ๆ กันมั้ง ทั้งที่ตอนปีแรกเราก็คิดว่าน่าจะใช่น่าจะชอบนะ งานที่ได้รับมอบหมายเป็นลักษณะงานเชิงวิชาการ (ที่ไม่มีใครเขาอยากทำกัน) ซึ่งเราก็ว่าเราก็ทำได้ดีนะ วัดจากผลที่ออกมา (ไม่ได้ชมตัวเองน๊าา แค่ผลเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย) เราก็ชอบนะงานลักษณะนี้ เพียงแต่งานนี้อาจอยู่ผิดที่ไปหน่อยนะในความรู้สึกเรา แรก ๆ ก็ตื่นเต้น สนุกกับความท้าทาย ผ่านไปสักพัก ทำไมรู้สึกเหมือนงานที่ได้รับคือโลกกว้าง แต่กลับได้นั่งทำงานอยู่ในอุโมงค์ (อันนี้คือเปรียบเปรย) เราไม่ได้แค่คิดนะ เราพยายามไฟท์ให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ทางที่ควรจะเป็น ให้มันถูกที่ถูกทาง และให้เดินไปตามทิศทางที่ถูกต้อง แต่มันไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่เลย

หากเราไม่คิดอะไรมาก ก็ทำไปตามคำสั่งและหน้าที่ ก็อยู่ได้แหละ แต่เราว่าความหมายของการทำงานมันจะค่อย ๆ เลือนหายไป ซึ่งมันไม่ใช่เราที่จะทำงานไปวัน ๆ

แต่ไม่ใช่ว่าที่นี่ไม่ดีนะ องค์กรหนึ่งมันมีหลายปัจจัย ไม่ได้เป็นเพราะใครคนใดคนหนึ่งหรอก เราก็เข้าใจได้ในหลาย ๆ เรื่องแหละ เพียงแต่เมื่อเราสรุปกับตัวเองได้ว่าไม่ใช่คำตอบที่เราต้องการ เราก็ต้องเดินหน้าไปอีกทาง ก็แค่นั้นเอง

2. Career path

เมื่อก่อนนี้เราไม่เคยนึกถึง Career path เลยนะ คิดแต่ว่าทำงานในความรับผิดชอบให้ดีที่สุด ผลทุกอย่างมันจะดีเอง แล้วยังไงมันก็จะก้าวหน้าอยู่แล้ว ถ้าเราทำงานได้ดี ด้วยก่อนหน้านั้นในงานเอกชน วัดกันที่ผลงานได้ชัดเจน เราก็ไม่เคยผิดหวังในการปรับเงินเดือนหรือตำแหน่งนะ เราคิดว่ามันเป็นเงาตามของการที่เรารับผิดชอบงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด ทำงานให้เกินความคาดหวังของเจ้านาย และพัฒนาตัวเองสม่ำเสมอ ก็แค่นั้น

แต่ในระบบนี้ไม่ใช่แบบนั้น หากเราไม่วางแผน Career path ตัวเอง ต่อให้ขยัน ให้ทำงานมากมาย ก็อาจไปไม่ถึงไหน จนทำให้หลายคนที่อยู่ในระบบมานาน เลือกที่จะไม่ทำหรือแสดงความสามารถอะไรนัก ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่มากมาย เราถึงได้เริ่มมาคิดเรื่องนี้

เราไม่ต้องการถูกระบบกลืน และจากประสบการณ์ที่ทำงานในระบบมาระยะหนึ่งในพื้นที่/ลักษณะงาน/สภาพแวดล้อม/วัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกัน เราได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า ต่อให้เราทำที่ไหน ต่อให้เราอยู่ในระบบนานแค่ไหน เราก็จะทำงานอย่างเต็มที่เต็มความสามารถเรานะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมเราจะวางเส้นทางให้ตัวเองก้าวหน้าไม่ได้ล่ะ

ทั้ง ๆ ที่ก็รู้แหละนะว่า ความก้าวหน้าไม่ได้อาศัยความเก่ง ความขยัน หรือความดีเท่านั้นหรอก มันมีปัจจัยในเรื่องโอกาสจังหวะต่าง ๆ ที่จะเข้ามา อย่างที่เขาว่าต้องเก่งด้วยเฮงด้วยนั่นล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราขอทำให้ดีที่สุดในเรื่องที่เราควบคุมได้ก่อนละกัน ส่วนอะไรที่เราควบคุมไม่ได้ แล้วผลจะเป็นยังไง ก็ขอให้เกิดหลังจากที่เรามั่นใจว่าเราได้พยายามเต็มที่และทำอย่างดีที่สุดแล้วก็พอ

นั่นจึงเป็นที่มา ที่เรามอง Career path ที่นี่ไม่ออกเลย ว่าจะไปถึงไหนได้ยังไง ก็อย่างที่บอกว่าไม่ใช่ที่นี่ไม่ดีนะ แต่ Career path ที่นี่มันไม่คลิกกับเรามั้ง

เหตุผลหลัก ๆ 2 ข้อนี้ล่ะ

แต่ระยะเวลา 2 ปี กับที่นี่ เราไม่เคยเสียดายหรือเสียใจที่ตัดสินใจมาเลยนะ ที่นี่ให้อะไรกับเราเยอะมาก เราได้เรียนรู้อะไรมากมาย เราเก็บเกี่ยวความรู้ ประสบการณ์ และเรื่องราวไว้เยอะแยะเลยล่ะ มีเรื่องที่เราทำได้ดี รู้สึกภูมิใจ (เรื่องงาน) มีเรื่องที่เรายังทำได้ไม่ดีนัก แต่ได้บทเรียนที่ต้องไปทบทวนปรับปรุง (เรื่องความสัมพันธ์) ใคร ๆ เขาหาว่าเราจริงจังมากไป ซีเรียสเกินไปในเวลาทำงาน เสียงสะท้อนแบบนี้ไม่ใช่แค่ที่นี่ ที่เก่าก่อนหน้านี้ก็มีคนเตือน ว่าอย่ามัวแต่ก้มหน้าทำงาน ให้เงยหน้าทำงานบ้าง ก็คงจริงแหละ หลายครั้งก็ต้องใช้ความสัมพันธ์นำเรื่องงาน

มาถึงวันนี้ ขอขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเดินหน้าไปต่อในทางที่เลือกเอง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *