หลายครั้งที่บอกตัวเองว่านั่งว่าง ๆ หายใจทิ้งไปวัน ๆ บ้างก็ได้ แต่ก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไรกันแน่ ที่ต้องอัดแน่นตารางชีวิตให้ตัวเองตลอด ๆ ไม่ว่าจะเป็นวันทำงานหรือวันหยุด บางทีก็เผลอกดดันตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้มีใครมาว่าหรือบังคับให้ทำทั้งนั้น
ทำไมเรื่องที่อยากทำถึงมีมากมายนักนะ เหมือนกระหายเวลาในชีวิตที่ไม่เคยมีมายาวนานอย่างนั้น 108 เรื่องที่อยากทำ ยังไม่นับรวม เรื่องที่ต้องทำ อีกนับไม่ถ้วน
ใครก็ชอบถามว่าไม่เหงาเหรอ โอ้ยย อยากมีเวลาอยู่กับตัวเองจริง ๆ จะแย่ เรื่องที่ต้องทำส่วนมาก ก็ต้องมีคนอื่นปะปนทั้งนั้น เมื่อมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง แน่นอนว่าเราไม่มีทางเป็นตัวของตัวเองได้ 100% หรอก ก็เลยไม่ค่อยจะว่างเหงาน่ะสิ แต่ก็เข้าใจได้แหละ ว่าชีวิตกับการอยู่ในสังคมมันก็ต้องแบบนั้น ไม่ได้จะบอกว่าไม่ดีหรอกนะ เพียงแค่อยากมีเวลาให้มากกว่านี้ที่จะทำอะไรตามใจตัวเองลำพังบ้าง แบบไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่ต้องกังวลว่าใครจะรู้สึกยังไง
บางทีสังคมก็ทำให้เราอึดอัดใจ เอ… หรือเราคิดมากไปเอง ยิ่งวันนี้ได้ฟัง The Standard Podcast Ep.544 หยุดวิเคราะห์ไม่ได้ จนไปต่อไม่ถูก ทำไงดี? https://bit.ly/37Oowgw นี่เราเป็นแบบนี้จริง ๆ เหรอ ซึ่งหลายคนใกล้ตัวก็ชอบบอกว่าเราเป็นแบบนี้ เราว่าทุกวันนี้เราน้อยลงกว่าเดิมมากแล้ววววววว ยอมให้ error ได้ตั้งเยอะแล้ว แต่ก็อดคิดไม่ได้ หรือว่าเรายังเป็นเยอะจริง ๆ เพราะในหัวเรานี่จะมีเรื่องให้คิด+วิเคราะห์+ตัดสินใจตลอดเวลา แล้วก็จริงอย่างที่ใน podcast ว่า ที่ว่าหลายเรื่องไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือสำคัญอะไรเลย แต่เราเอามาเป็นเรื่องสำคัญไปซะหมด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะที่ผ่านมา เราเดินทางเป็นเส้นตรงมาตลอด มุ่งและมองไปข้างหน้าอย่างเดียว แทบไม่เคยแวะดูหรือสัมผัสบรรยากาศระหว่างทางเลย พอมาถึงตอนนี้ ด้วยเดินทางมาพักใหญ่ แล้วทางข้างหน้าก็ยังต้องฝ่าฟันอยู่ไม่หยุดหย่อน (ก็ตราบเท่าที่เรามีชีวิตอยู่นั่นล่ะ) ทำให้เราอยากเก็บเกี่ยวสีสันระหว่างทางบ้าง เรียนรู้ที่จะบาล็านซ์ที่น้อยคนจะทำได้ แต่เราเริ่มตั้งเป้าว่าการบาล๊านซ์ชีวิตให้ได้ คืองาน ๆ หนึ่ง คือภารกิจหนึ่งที่ต้องทำให้สำเร็จให้ได้ก่อนจะสายเกินไป แต่บางครั้งก็กลับกลายมาเป็นความกดดันตัวเองซะงั้น เฮ้อ… แต่ถ้าจะมองย้อนหลังไป ทุกวันนี้ เราก็ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้วล่ะ ทั้งทางจิตใจและวิถีทางของชีวิต แค่ปล่อยวางอะไรต่ออะไรให้ได้มากกว่านี้ และพยายามอยู่ตรงกลางให้ได้
อย่างวันหยุด 4 วันนี้ จริง ๆ ได้หยุดนะ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ แต่เหมือนมีการบ้านที่ต้องคิดตั้งแต่ก่อนถึงวันหยุด ว่าจะจัดตารางยังไงให้ใช้วันหยุดให้คุ้มค่า ปรับแผนปรับตาราง ปรับแล้วปรับอีก list สิ่งที่ต้องทำและอยากทำ ซึ่งมีมากกว่าเวลา 4 วันนี้จะทำได้หมด ต้องตัดสินใจว่าจะตัดกิจกรรมหรือเรื่องราวอะไรออกไปบ้าง ชั่งน้ำหนักแล้วชั่งอีก ว่าจะทำอันนี้ดีหรืออันนั้นดีกว่า โอ้ยย มากไปจริง ๆ
และสิ่งที่ทำให้เราอึดอัดและลำบากใจตอนนี้ ก็คงเป็นนิสัยที่ไม่กล้าปฏิเสธคนแหละ โดยเฉพาะที่ใครทำดีกับเราจะมากจะน้อยก็เหอะ ถ้าเอ่ยปากมาก็จะต้องแหละ และมันก็จะต้องแลกด้วยเวลาของเรา ที่เราจะไม่เป็นตัวของตัวเอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหลายครั้งเราก็อึดอัด เราคงไม่กล้าบอกใครมั้ง ว่าเราไม่ใช่เด็กที่ว่านอนสอนง่ายขนาดนั้น เราไม่ชอบไปตามโปรแกรมของใคร แม้แต่ที่บ้านในบางครั้ง เราชอบกำหนดวิถีทางชีวิตของเราเอง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ฟังใครนะ ถ้าใครคนนั้นทำให้เราศรัทธาและฟังได้ ก็ด้วยเราชอบตัดสินใจเองเลือกเอง ถ้าเป็นเรื่องส่วนรวม ที่ไม่ใช่เรื่องงานโดยตรง ถ้าเราไม่เห็นด้วยมาก ๆ คือคนละแนว คนละวิถีทาง ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะมีอย่างนั้น เราก็จะถอยออกมาอย่างเงียบ ๆ เอง ไม่ว่ากัน แต่อย่ามาพยายามให้เราต้องไปเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราไม่เห็นด้วยเลย ไม่ไปค้าน ไปขัดขวางใด ๆ แต่ปล่อยเราและเข้าใจวิถีของเราเถอะ เพราะส่วนมากเรื่องประมาณนี้ จะเป็นเรื่องส่วนตัว เวลาส่วนตัว ที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน แต่ด้วยความสัมพันธ์นั้น ๆ อาจเกี่ยวโยงกันมาจากการงานนั่นเอง เพราะถ้าอะไรที่เป็นหน้าที่ เราเชื่อมั่นว่าเราเคารพสถานการณ์ตามบริบทต่าง ๆ ได้ดีพอสมควรแหละ ไม่ว่าจะเป็นกฏเกณฑ์ของสังคม หรือระเบียบที่ต้องปฏิบัติ อันนั้นเราเคร่งซะยิ่งกว่าอะไร และหลายครั้งเราก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องมารยาททางสังคม ที่ต้องทำในสิ่งที่อาจไม่ชอบนักหรือไม่เป็นตัวเอง ก็มีเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว มันเลยยิ่งทำให้ เมื่อเป็นเวลาส่วนตัวของเรา เราก็ขอเถอะ
แต่ด้วยบางทีเราก็ไม่เด็ดเดี่ยวหรือแกร่งจริงอย่างภายนอกมั้ง ก็เลยทำให้เราต้องคิดแล้วคิดอีก เวลาต้องทำอะไรที่เกี่ยวพันกับคนอื่น แล้วมันก็อีรุงตุงนังกับเวลาส่วนตัวเรานี่แหละ
แต่พอเขียนมาถึงตอนนี้ อยู่ ๆ เราก็ตัดสินใจใหม่ ขอเปลี่ยนโปรแกรมสัปดาห์หน้าที่ต้องไปเพราะเกรงใจคนอื่น (ต้องลางานด้วย) ก็ในเมื่อใจเราไม่อยากไปนี่นา จะฝืนทำไม เพราะบางทีเขาก็ไม่ได้อะไรกับเราหรอก เราแหละคิดมากไปเอง
เขียนบล็อกช่วยได้จริง ๆ
Leave a Reply